ติดตั้งใช้งาน DVSwitch (Basic)
บทความนี้จะเป็นการติดตั้ง DVSwitch Server บน Raspberry pi แบบ command line ผ่าน Terminal ของ Raspberry pi โดยใช้ OS ต้นฉบับของ Raspberry pi
อะไรคือ DVSwitch?
DVSwitch เป็น Application บน Smartphone ระบบ Android ที่ผู้พัฒนาทำมาเพื่อใช้ในเครือข่ายวิทยุสมัครเล่นโดยเฉพาะ ซึ่งมีความสามารถที่จะเปลี่ยนโหมดการสื่อสารดิจิตอลได้แทบทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็น DSTAR, DMR, NXDN, P25 หรือ YSF ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดในการสนทนาได้อย่างสะดวกรวดเร็วโดยไม่ต้องมีวิทยุสื่อสาร
โครงสร้างของ DVSwitch ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
การใช้งาน DVSwitch ประกอบด้วย 2 ส่วนด้วยกันคือส่วนของ Server ที่ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลไปในอินเตอร์เน็ต ทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงไปในโหมดต่าง ๆ ส่วนนี้เราจะเรียกว่า DVSwitch Server และอีกส่วนคือส่วนของ Client ที่ติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือระบบ Android ส่วนนี้เรียกว่า DVSwitch Client หรือ DVSwitch Mobile ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง DVSwitch Server เพื่อรับ/ส่งข้อมูลการสนทนาของเราไปยัง DVSwitch Server
DVSwitch Server ติดตั้งบนอุปกรณ์ใดได้บ้าง?
ในส่วนของ DVSwitch Server เป็น Software ที่ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ Linux สามารถติดตั้งได้บนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มี OS เป็น Linux ไม่ว่าจะเป็น PC, Mini PC หรือแม้กระทั่ง Raspberry pi อุปกรณ์ตัวเก่งของเราที่จะนำมาติดตั้งในบทความนี้
สำหรับบทความนี้เราจะติดตั้ง OS ของ Raspberry pi แล้วทำการติดตั้ง package ของ DVSwitch Server เข้าไปทีหลัง วิธีนี้สามารถใช้ติดตั้งลงใน PC ที่ลง OS เป็น Linux Debian ได้อีกด้วย เนื่องจาก OS ของ Raspberry pi นั้นได้ดัดแปลงมาจาก Linux Debian ทั้งสอง OS นี้จึงสามารถใช้คำสั่งเดียวกันได้เกือบจะทุกคำสั่งในการใช้งาน
สิ่งที่ต้องเตรียมในการติดตั้งและใช้งาน DVSwitch
- Raspberry pi จะเป็น Pi 3, Pi4 จำนวน RAM เท่าไรก็ได้ครับ
- Micro SD Card ตั้งแต่ 8GB. ขึ้นไป แนะนำให้เลือกเป็น Class 10 ที่ความเร็วสูงหน่อยเพื่อการทำงานที่เร็วขึ้น ต้องมีตัวอ่าน/เขียน Card นี้ด้วยนะครับ มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถ Write Image File ลงตัว Micro SD Card ได้
- ThumbDV กรณีที่ใช้งานระบบ DSTAR เป็นหลัก เนื่องจากถ้าไม่ใส่อุปกรณ์ตัวนี้ไว้กับ Raspberry pi แล้วคุณภาพเสียงในระบบ DSTAR เวลากด TX จะค่อนข้างแย่มาก แต่สำหรับท่านที่ใช้ระบบ DMR เป็นหลักก็ไม่จำเป็นครับ เพราะราคาของอุปกรณ์ตัวนี้ค่อนข้างสูง ประมาณสี่พันกว่าบาท
- เคสใส่ Raspberry pi เพื่อความเรียบร้อยสวยงาม เลือกที่ชอบเลยครับ
- กรณีที่ท่านต้องการใช้งานจากนอกบ้านหรือจากที่อื่นที่ไม่ได้อยู่ในอินเตอร์เน็ตวงเดียวกับตัว Raspberry pi อยู่ ก็ต้องมีอินเตอร์เน็ตที่สามารถ forward port ให้เข้าไปถึง Raspberry pi ได้ เคสนี้อินเตอร์เน็ตแบบใส่ sim มือถือหมดสิทธิ์ครับ
- อีกหนึ่งอย่างที่ต้องมีถ้าใช้งานจากภายนอกบ้านคือบริการ ddns หรือ dyndns หรืออื่น ๆ แล้วแต่จะเรียกกัน ซึ่งอินเตอร์เน็ตที่บ้านเราจะเปลี่ยนแปลง IP ทุก ๆ ครั้งที่มีการเชื่อมต่อใหม่ เพราะฉะนั้นบริการนี้จะมาช่วยเป็นตัวกลางในการ update ข้อมูล IP ที่เปลี่ยนแปลงนี้ตามชื่อ Domain ที่เราสมัครไว้เช่น hs2bmi.dyndns.org
- สิ่งสุดท้ายที่จะต้องมีคือเพื่อการใช้งาน DVSwitch ก็คือ Smartphone ระบบ Android เพื่อลง Application DVSwitch Mobile เนื่องจากการใช้งาน DVSwitch ประกอบด้วยกัน 2 ส่วนคือส่วนของ Server ก็คือ DVSwitch Server ที่เราติดตั้งใน Raspberry pi และ DVSwitch Client ที่เราติดตั้งลงใน Smartphone นั่นเอง
ในข้อ 1–2 จำเป็นต้องมีนะครับ ไม่งั้นก็ไม่สามารถติดตั้งตามบทความนี้ได้ แต่ส่วนหัวข้ออื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ทะยอดจัดหายังพอได้
เริ่มต้นติดตั้ง DVSwitch
เริ่มจากการดาวน์โหลด Raspberry pi OS จากเว็บไซต์ของ www.raspberrypi.org ให้เข้าไปที่เมนู Software แล้วเลือก Raspberry pi OS
ผมแนะนำให้เลือก OS เป็นตัว Lite เนื่องจากไฟล์จะเล็กทำงานเร็วกว่า เพราะมีเฉพาะ Software เท่าที่จำเป็นในการทำงานเท่านั้น
หลังจากคลิ๊ก Download หน้าเว็บจะมีหน้าต่างขึ้นมาเพื่อให้เราเลือก Open with หรือ Save File ให้เราเลือก Save File แล้วคลิ๊ก OK เพื่อบันทึกไฟล์ลงเครื่องเรา ไฟล์ที่ได้นี้จะเป็น zip ไฟล์คือยังไม่ใช่ไฟล์ Image จริง ๆ หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วเราจะต้องทำการแตกไฟล์นี้ก่อนถึงจะนำไป Write Image ลงบน Micro SD Card ได้
หลังจากที่ดาวน์โหลดไฟล์เสร็จแล้วก็ให้แตกไฟล์ที่ได้มาไว้ที่หน้า Desktop เพื่อสะดวกในการเรียกใช้งาน ส่วนของการแตกไฟล์จะไม่พูดถึงเพราะมี Software ด้วยกันหลายตัว ส่วนมากจะเคยทำกันอยู่แล้วนะครับ
ให้ใช้โปรแกรม Win32DiskImager ในการเขียน Image ไฟล์ลง Micro SD Card โปรแกรมตัวนี้เป็น Freeware ดาวน์โหลดได้จาก ที่นี่ หรือจะ search จาก google ก็ได้เช่นกันครับ การตั้งค่าที่จะเขียน Image ในโปรแกรม Win32DiskImager ก็ไม่มีอะไรมากให้ระบุ Image File ไปยังไฟล์ที่เราแตกออกมา และกำหนด Device เป็น Drive ของ Micro SD Card (ดูให้ดีเช็คให้ตรง) เสร็จแล้วก็กด Write ได้เลย
หลังจาก Write เสร็จอย่าเพิ่งถอด Micro SD Card ออกนะครับ มีอีกหนึ่งขั้นตอนที่จะลืมไม่ได้เนื่องจาก OS ของ Raspberry pi ค่าปกติเค้าจะปิดการ Remote เข้าไว้ เราจึงไม่สามารถใช้ putty เข้าไปทาง IP ได้ จะต้องมีการเปิดการ Remote ก่อน โดยการสร้างไฟล์เปล่าชื่อ ssh. (ไม่มีนามสกุล) ไว้ใน Drive boot ของ Raspberry pi วิธีการสร้างไฟล์แบบง่าย ๆ โดยการเข้า command ของ Windows การเข้า command ของ Windows กดปุ่ม Start แล้วเลือก Command Prompt หรือ พิมพ์ cmd แล้ว Enter
หลังจากนั้นที่ command ของ Windows ให้พิมพ์คำสั่ง…
echo "" > E:\ssh.
ถ้า Drive ที่ Micro SD Card อยู่ไม่ใช่ Drive E: ก็ให้เปลี่ยน E เป็นชื่อ Drive นั้น ๆ เพียงเท่านี้เราก็ได้ไฟล์เปล่า ๆ ชื่อ ssh. ที่อยู่ใน Drive boot ของ Raspberry pi แล้ว อาจจะลองใช้คำสั่ง dir E:\ssh* ดูว่ามีไฟล์อยู่แล้วหรือไม่ (เปลี่ยน E เป็น Drive ที่ใช้งานจริง) หรือจำเปิดดูจาก Windows Explorer ก็ได้ว่ามีไฟล์ ssh. อยู่ที่ Drive boot ของ Raspberry pi หรือไม่
ต่อไปก็เอา Micro SD Card ใส่ Raspberry pi เพื่อเริ่มต้น boot ระบบได้เลย เพื่อความง่ายก็แนะนำให้ต่อเป็นสาย LAN จาก Router ไปยัง Raspberry pi โดยตรง สึ่งที่เราต้องรู้คือหมายเลข IP ของ Raspberry pi ว่าได้ IP อะไรเพื่อเราจะได้ใช้โปรแกรม putty ทำการรีโมทเข้าไปติดตั้ง DVSwitch Server ได้ ภาพตัวอย่างด้านล่างผมใช้ วิธีการเข้าไปใน Router ของผู้ให้บริการเพื่อดูหมายเลข IP ที่ Raspbery pi ได้รับ หรืออีกวิธีที่สะดวกคือใช้ Application Fing ทำการ Scan IP ในวงก็ได้เช่นกัน
ต่อไปก็ให้ใช้โปรแกรม putty ทำการรีโมทเข้าไปยัง Raspberry pi ตามหมายเลข IP ที่ได้รับ หากท่านใดยังไม่มีโปรแกรม putty อยู่ในเครื่องก็ให้ทำการดาวน์โหลดมาก่อน ซึ่งเป็นโปรแกรม Freeware อยู่แล้ว ดาวน์โหลดได้จาก ที่นี่ ให้เลือกเวอร์ชั่นตามระบบปฏิบัติการที่ท่านใช้อยู่ แต่ส่วนมากก็จะเป็น 64-bit x86 กันทั้งหมด หรือใช้วิธีค้นหาจาก google ก็ได้ สำหรับ putty เป็นโปรแกรมตัวเล็กมาก ไม่ต้องใช้การติดตั้งเพียงแค่ดาวน์โหลดไว้ที่หน้าจอแล้วก็ Double Click ก็สามารถเปิดโปรแกรมมาใช้งานได้แล้ว แนะนำให้บันทึกไว้ที่หน้า Desktop เลยเพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน
เปิดโปรแกรม putty แล้วระบุ Host Name (or IP address) เป็นหมายเลข IP ของ Raspberry pi ส่วน Port ค่าปกติจะเป็น 22 อยู่แล้ว หลังจากนั้นคลิ๊ก Open เพื่อทำการเชื่อมต่อ
หลังจากคลิ๊ก Open จะมีหน้าต่างแจ้งเตือนความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ ซึ่งหน้าต่างนี้จะเตือนครั้งแรกที่เรามีการเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่ไม่เคยเชื่อมต่อ ให้ตอบ Yes เพื่อเริ่มการเชื่อมต่อ
ทำการ Login ด้วยชื่อผู้ใช้ pi แล้วกด Enter
ระบุรหัสผ่านเริ่มต้น คือ raspberry แล้วกด Enter
ถ้าชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ใส่ไปถูกต้องก็จะได้ตามภาพด้านล่าง
เมื่อเข้าระบบของ Raspberry pi ได้แล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือการ update และ upgrade แพ็คเกจต่าง ๆ ให้เป็นปัจจะบันด้วยคำสั่ง
sudo apt-get update
sudo apt-get upgrade
หลังจาก Enter แล้วให้ตอบ Y เพื่อยืนยัน
ขั้นตอนการ upgrade อาจจะใช้เวลานานนิดนึงนะครับประมาณ 5–10 นาที หลังจาก upgrade เสร็จแล้วก็มาดูเรื่องเวลากันเพราะปกติเวลาที่ตั้งไว้จะไม่ใช่เวลาของประเทศไทย เราก็มาตั้งค่าให้เป็น UTC +7 สำหรับประเทศไทย โดยใช้คำสั่ง
sudo dpkg-reconfigure tzdata
ให้เลือก Time zone เป็น Asia/Bangkok แล้วเลือก OK เพื่อยืนยัน
ต่อไปก็จะเป็นคำสั่งในการติดตั้ง DVSwitch Server ใช้การ copy แล้วไปวางใน putty เลยก็ได้ครับ เลือก copy จากหน้าจอ ส่วนใน putty สั่งวางง่าย ๆ โดยการคลิ๊กขวา
cd /tmp
sudo wget http://dvswitch.org/buster
sudo chmod +x buster
sudo ./buster
sudo apt-get update -y
sudo apt-get install dvswitch-server -y
อธิบายคำสั่งแต่ละบรรทัดคร่าว ๆ
cd /tmp คือ ให้ไปที่ Directory /tmp
sudo wget http://dvswitch.org/buster คือ ให้ไปดาวน์โหลดไฟล์มาไว้ในเครื่อง
sudo chmod +x buster คือ เปลี่ยนไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาให้เป็นแบบ run ได้
sudo apt-get update -y คือสั ่ง update อีกครั้งก่อนทำการติดตั้งแพ็คเกจ
sudo apt-get install dvswitch-server -y คือ ให้เริ่มติดตั้ง DVSwitch Server
ถึงบรรทัดสุดท้ายอาจจะต้องกด Enter 1 ครั้งเพื่อเริ่มทำการติดตั้งนะครับ ใช้เวลาติดตั้งประมาณ 5 นาที หลังจากติดตั้งแล้วให้ทำการ Reboot Raspberry pi 1 ครั้งโดยใช้คำสั่ง
sudo reboot
หลังจาก Raspberry pi ได้ boot ขึ้นมาใหม่แล้ว (ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที) ก็ให้เราทำการรีโมทด้วยโปรแกรม putty เข้าไปใหม่ตาม IP เดิม ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเดิมถ้าไม่ได้มีการเปลี่ยนรหัสผ่าน
ณ ตอนนี้เราสามารถทดลองเข้าหน้าเว็บของ DVSwitch Server ผ่านหมายเลข IP ของ Raspberry pi ได้แล้ว โดยใช้โปรแกรม Browser ทั่วไปเช่น Chrome, Firefox ซึ่งจะเป็นหน้าเว็บโล่ง ๆ เพราะเรายังไม่ได้ทำการตั้งค่าพื้นฐาน
ทำการตั้งค่า DVSwitch Server โดยพิมพ์คำสั่ง dvs ที่ command ของ Raspberry pi แล้วกด Enter
หลังจากกด Enter ก็จะเข้าหน้าจอการตั้งค่า DVSwitch Server แล้วทำตามขั้นตอน
เลือกภาษาที่ต้องการ (ไม่มีภาษาไทย)
เริ่มต้นจากเมนู 01 ตั้งค่าพื้นฐาน
โปรแกรมจะแจ้งเตือนว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนการตั้ง Callsign, DMR ID, USRP Port และอื่น ๆ ให้ตอบ Yes เพื่อเริ่มการตั้งค่า
ระบุสัญญาณเรียกขานของตัวท่านเอง แต่ละขั้นตอนต่อจากนี้ให้ยืนยันโดยเลือก OK
ระบุหมายเลข DMR ID ของท่านเอง ตรงนี้จำเป็นนะครับ ถ้ายังไม่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอหมายเลข DMR ID ก็ต้องทำการลงทะเบียนให้ได้หมายเลขมาก่อน
ต่อไปกำหนดหมายเลข DMR ID และตัวเลขอีก 2 หลัก เพื่อเป็นหมายเลขประจำตัวของอุปกรณ์ ถ้าท่านมี hotspot ที่ใช้ระบบ DMR อยู่แล้วที่เป็น รหัส 01 ก็ให้กำหนดเป็นเลขอื่นที่ไม่ซ้ำกับตัวเดิม ตัวอย่างของผมระบุเป็น 15 ก็จะได้เป็นหมายเลข DMR ID 7 หลัก + กับหมายเลข ESSID อีก 2 หลัง = 520088315
กำหนดค่า DSTAR Module (A-Z) ซึ่งจะไปแสดงในระบบของ DSTAR เช่นถ้ากำหนดเป็น C เวลาเราไปเข้าระบบของ DSTAR ก็จะแสดงเป็น HS2BMI-C เป็นต้น
กำหนดค่า NXDN ID ซึ่งถ้าไม่มีก็ไม่ต้องระบุให้เลือก OK ผ่านต่อไป
กำหนด USRP Port ของ DVSwitch Server ตรงนี้สำคัญมาก ให้จำหมายเลข Port ให้ดี เพราะจะเป็น Port ที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง DVSwitch Server กับ DVSwitch Mobile และหมายเลข Port นี้ยังจะต้องทำการ forward port ใน Router สำหรับการใช้งานภายนอกบ้านอีกด้วย เลือกได้ตั้งแต่ 50000–55000 ส่วนหมายเลขอื่นนอกจากนี้ก็สามารถใช้งานได้แต่อาจเกิดปัญหาอื่นได้
เลือก BM Server ที่ใช้เชื่อมต่อ เลือกประเทศไหนก็ได้ แต่ควรเลือกให้ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดครับ หากเป็นประเทศในโซนยุโรปอาจต้องกำหนดรหัสผ่านในการเข้าใช้งานด้วย ตัวอย่างผมเลือก BM_5151_Philippines
ระบุรหัสผ่านในการเข้าใช้งาน Brandmeister ซึ่งเดิมเราใส่คำว่า passw0rd ตามค่าเดิม แต่ปัจจุบันผู้ให้บริการ Server ซึ่งก็คือ Brandmeister นั้นกำหนดให้ทุกคนต้องไปสร้างรหัสผ่านเองที่เว็บไซต์ brandmeister.network ก่อนจึงจะใช้งานได้ ซึ่งถ้าใครไม่ไปสมัครบริการของ brandmeister.network ก็จะไม่มีทางที่จะใช้งานระบบ DMR ที่ใช้ Server ของ Brandmeister ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่ได้สมัครบริการตรงนี้ก็ให้ไปสมัครก่อน แล้วทำการสร้างรหัสผ่านของตัวเองเพื่อใช้งานกับ Hotspot หรือ DVSwitch ที่เชื่อมกับระบบของ Brandmeister
ให้ลบคำว่า passw0rd ของเดิมออก่อนนะครับแล้วระบุรหัสผ่านประจำตัวของตัวท่านเองเข้าไปแล้วเลือก Ok เพื่อบันทึกค่า
กำหนด Hardware Vocoder (AMBE) คือ chip ถอดรหัสเสียงจะมีผลมากในกรณีที่เชื่อมต่อระบบ DSTAR ตัวอย่างการติดตั้งนี้ผมเลือกแบบไม่ใช้ Hardware ถอดรหัสเสียง ผมเลือกข้อ 4 ซึ่งตรงนี้เราสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าได้ภายหลัง
หน้าจอสุดท้ายคือยืนยันการตั้งค่าเลือก Yes เพื่อยืนยันการตั้งค่า
ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 10 วินาที ก็จะมีหน้าจอแสดงผลการตั้งค่าสำเร็จให้กด OK
หลังจากนั้นหน้าจอการตั้งค่าจะกลับมาที่เมนูหลัก สามารถออกจากเมนูได้โดยการเลือกเมนู 05 หรือกด Esc เพื่อออกจากเมนู
ตอนนี้ขั้นตอนการตั้งค่าพื้นฐานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เราลองใช้ Browser เปิด IP ของ Raspberry pi ใหม่ ซึ่งตอนนี้จะมีข้อมูลต่าง ๆ แสดงบนหน้าเว็บแล้ว
ทดลองใช้ DVSwitch Mobile ใน Smartphone เชื่อมต่อเข้ามายัง DVSwitch Server หากยังไม่ได้ติดตั้ง DVSwitch Mobile ให้ทำการติดตั้งจาก Play Store
หลังจากติดตั้งแล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมาจะได้ตามภาพด้านล่าง ให้เลือก Tab Accounts เพื่อตั้งค่าการเชื่อมต่อไปยัง DVSwitch Server
หลังจากเลือก Tab Accounts ก็จะมีรายการบัญชีที่ใช้เชื่อมต่ออยู่หลายรายการ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยตั้งค่าก็ให้ใช้รายการแรก ส่วนตัวอย่างของผมมีการตั้งค่าอยู่แล้วหลายรายการ ผมเลือกลำดับที่ 4 เป็นตัวอย่างในการตั้งค่า ซึ่ง Application DVSwitch Mobile นั้นให้เราเลือกใช้การเชื่อมต่อไปยัง Server ต่าง ๆ ได้หลาย Server แต่เลือกใช้ได้ทีละ 1 Server เท่านั้น
ให้ทดลองตั้งค่า ค่าปกติ Protocol เป็น USRP อยู่แล้ว ก็ให้ระบุหมายเลข IP, USRP Port ที่เรากำหนดไว้และ Callsign, DMR ID ให้ถูกต้องแล้วกด Save เพื่อบันทึกการตั้งค่า
หลังจากกด Save แล้วให้สังเกตุหน้าจอ ถ้าเราตั้งค่าถูกต้องจะมีข้อความเล็ก ๆ ขึ้นที่หน้าจอว่า USRP:REG:OK ก็แสดงว่า DVSwitch Mobile เชื่อมต่อไปยัง DVSwitch Server ได้สำเร็จนั่นเอง ถ้าไม่มีข้อความขึ้นให้ตรวจสอบการตั้งค่าอีกครั้งว่าระบุข้อมูลต่าง ๆ ถูกต้องหรือไม่ ข้อควรระวังเนื่องจากเรายังไม่ได้กำหนดหมายเลข IP ตายตัว ให้กับ Raspberry pi เพราะฉะนั้นหมายเลข IP ของ Raspberry pi อาจมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ให้ตรวจสอบให้มั่นใจอีกครั้ง
จากนั้นให้กลับมายังหน้าจอหลักของ DVSwitch Mobile เพื่อทดลองใช้งาน ในหน้าจอหลักปุ่มคีย์ลัดที่สำคัญคือปุ่ม A เป็นการเลือกโหมดในการสื่อสาร ในปุ่มนี้เราจะเลือกโหมดการสื่อสารได้ว่าเราจะใช้ DSTAR, DMR, NXDN, P25 หรือ YSF โดยการกดตัว A ค้างไว้ สักครู่จะมีเมนูขึ้นมาให้เลือก ก็ให้แตะที่โหมดที่ต้องการ
ทดลองเลือกโหมดเป็น DSTAR
หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นโหมด DSTAR พร้อมกับมีข้อความเล็ก ๆ ขึ้นที่หน้าจอว่า
Setting mode to DSTAR
เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถใช้งาน DVSwitch Server ผ่าน Application DVSwitch Mobile ได้แล้ว แต่การที่จะใช้งาน DVSwitch ให้สมบูรณ์แบบนั้นจะต้องมีอีกหลายขั้นตอนนะครับ ส่วนหนึ่งที่ผมจะขอแนะนำให้ทำก็คือการจ่ายเงินเพื่อซื้อ Application DVSwitch Mobile ให้เป็น Full Version เพราะไม่เช่นนั้นแล้วบางเมนูก็จะไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งราคาของตัว Application ก็ถูกมาก ๆ เพียงแค่ 63 บาท (ณ วันที่ทำบทความ) ให้เข้าไปที่แทป Config อยู่แทปสุดท้ายของ Application DVSwitch Mobile
หลังจากนั้นให้เลื่อนลงด้านล่างสุด จะมีคำว่า Full Access ให้กดซื้อ Application จากปุ่มนี้ วิธีการซื้อไม่ขอกล่าวถึงนะครับ เชื่อว่าทุกท่านน่าจะมีประสบการณ์ในการจ่ายเงินซื้อ Application บน Smartphone กันอยู่แล้ว
หลังจากทำรายการสั่งซื้อสำเร็จอาจจะต้องมีการปิด Application แล้วเปิดใหม่เพื่อให้ตัว Smartphone Update ข้อมูล ซึ่งถ้าท่านทำรายการสั่งซื้อถูกต้องปุ่ม Full Access ที่แทป Config จะเปลี่ยนไปเป็น Tip Jar! ถ้าขึ้นแบบนี้ก็แสดงว่า App ของท่านได้สิทธิ์ Full Access เรียบร้อยแล้ว ถ้ากดที่ Tip Jar! จะเป็นการบริจาคเงินให้เจ้าของ App แล้ว
มาถึงตอนนี้ท่านก็สามารถใช้ Application DVSwitch Mobile ได้เต็มประสิทธิ์ภาพแล้ว แต่การที่จะใช้งาน DVSwitch Mobile เชื่อมต่อกับ DVSwitch Server อย่างสมบูรณ์แบบนั้น จำเป็นต้องมีขั้นตอนที่สำคัญอีกหลายขั้นตอน เช่น การกำหนดหมายเลข IP ตายตัวให้กับ DVSwitch Server, การ Forward Port จาก Router มายัง DVSwitch Server, การทำ dynamic dns ให้กับ Router เพื่อ update หมายเลข IP จากผู้ให้บริการ ซึ่งแต่ละส่วนนั้นสำคัญต่อการใช้งาน DVSwitch ทั้งสิ้น สามารถอ่านได้จากบทความต่อไปนะครับ
หากท่านพบเห็นข้อผิดพลาดในบทความนี้ หรือมีข้อสงสัยสามารถสอบถามโดยตรงได้ที่ Line Id : aisfttx หรือสนใจเข้าร่วมกลุ่ม Line Openchat ของ XLX822 ก็ยินดีนะครับ มีเพื่อน ๆ คอยช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับดิจิตอลโหมดในกิจการวิทยุสมัครเล่นหลายท่านครับ