ติดตั้ง DVSwitch Server เข้าไปใน AllStar Link Node
สำหรับบทความนี้จะเป็นการเพิ่มความคุ้มค่าให้กับ AllStar Link Node ของเราซึ่งนอกจากจะใช้ทำหน้าที่เป็นโหนด AllStar Link แล้วยังสามารถใช้ทำเป็น DVSwitch Server ในตัวเดียวได้อีกด้วย เนื่องจากทั้ง AllStar Link Node และ DVSwitch Server ก็สามารถทำงานบนอุปกรณ์ Raspberry Pi 3 หรือ Pi 4 ได้เช่นเดียวกัน สำหรับอุปกรณ์ Raspberry Pi ในบทความนี้จะใช้เป็น Raspberry Pi 3B+ นะครับ
เริ่มจากรีโมทด้วยเข้าไปใน AllStar Link Node
หลังจากที่เราได้ติดตั้งชุดโปรแกรมของ AllStar Link เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ใช้โปรแกรม Putty ทำการรีโมทเข้าไปเพื่อติดตั้ง DVSwitch โดยระบุหมายเลข IP ในโปรแกรม Putty แล้วคลิ๊กที่ Open
จากนั้นให้ Login เข้าด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของ AllStar Link ที่เราได้เคยเข้ากันมาแล้ว เมื่อเข้าระบบได้แล้วก็ให้ใช้ชุดคำสั่งเพื่อติดตั้ง DVSwitch Server แนะนำให้ทำทีละบรรทัดนะครับ ในการติดตั้งนี้เราทำการดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งไว้ที่ Directory /tmp นะครับ ซึ่งมีไว้สำหรับเก็บไฟล์ชั่วคราว ส่วนไฟล์ที่ติดตั้งจริงก็จะอยู่ในระบบไฟล์ปกติ
cd /tmp
wget http://dvswitch.org/buster
sudo chmod +x buster
sudo ./buster
หลังจากใช้คำสั่งแล้วจะมีข้อความ Failed ตามในภาพด้านล่าง เป็นเพราะส่วนของ AllStar Link จะไม่มีในระบบมาตรฐานของระบบปฏิบัติการ Raspberry Pi
ให้ใช้คำสั่งเพื่อเพิ่มคีย์ของ AllStar Link เข้าไปในระบบเสียก่อน ด้วยคำสั่ง
curl -s http://apt.allstarlink.org/repos/repo_signing.key | sudo apt-key add ---- สองบรรทัดด้านบนเป็น 1 คำสั่งนะครับ แล้วตามด้วยบรรทัดด้านล่างsudo apt-get update --allow-releaseinfo-change
หลังจากที่ทำสองคำสั่งด้านบนแล้วจะได้ผลลัพธ์ตามในภาพด้านล่างครับ
ต่อจากนั้นให้ใช้คำสั่งเพื่อ upgrade และ update ระบบปฏิบัติการของ Raspberry Pi ซึ่งอาจจะใช้เวลานานพอสมควร
sudo apt-get upgradeแล้วต่อด้วยคำสั่งsudo apt-get update -y
คำสั่งสุดท้ายจะเป็นคำสั่งเพื่อติดตั้ง DVSwitch Server
sudo apt-get install dvswitch-server -y
มาถึงขั้นตอนนี้ตัว DVSwitch Server น่าจะติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการ reboot ระบบ 1 ครั้ง แล้วเริ่มขั้นตอนการตั้งค่า DVSwitch Server
หลังจาก reboot ระบบ แล้วให้ใช้ putty เพื่อรีโมทเข้าไปใน AllStar Link อีกรอบ เพื่อเริ่มการตั้งค่า DVSwitch Server ด้วยคำสั่ง dvs สำหรับในการตั้งค่า DVSwitch Server ผมจะไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะหลาย ๆ คนน่าจะมีประสบการณ์ในการตั้งค่าอยู่แล้ว หลังจากที่ทำระบบเรียบร้อยหมดแล้ว ถ้าเราเปิดหมายเลข IP ของ AllStar Link ก็จะได้หน้าเว็บของ DVSwitch ขึ้นมา และถ้าเราใส่ /allmon2 ตามท้ายก็จะไปยังหน้าเว็บของ Allmon2 หรือถ้าเราใส่ /supermon ก็จะไปยังหน้าเว็บของ Supermon
ตัวอย่างหมายเลข IP ของ AllStar Link ของผมหมายเลข IP : 192.168.3.100
ถ้าเปิด http://192.168.3.100 ก็จะเป็นหน้าเว็บของ DVSwitch Server
ถ้าเปิด http://192.168.3.100/allmon2 ก็จะเป็นหน้าเว็บของ Allmon2
ถ้าเปิด http://192.168.3.100/supermon ก็จะเป็นหน้าเว็บของ Supermon
สำหรับ DVSwitch ที่เราติดตั้งเข้าไปจะเห็นว่ามีปัญหานิดนึงตรงที่หน้า Dashboard ตรง Status จะมาไม่ครบ ขาดในส่วนของ Analog Bridge Info ไป ซึ่งเป็นปัญหาในส่วนของไฟล์ตั้งค่าระบบของ Web Server ในระบบปฏิบัติการ สังเกตุจากภาพตัวอย่าง
ให้ทำการรีโมทเข้าไปใน Raspberry Pi ด้วยโปรแกรม Putty แล้วใช้คำสั่ง
sudo pico /etc/systemd/system/multi-user.target.wants/apache2.service---- เป็นคำสั่งบรรทัดเดียวยาว ----
ให้แก้ไขที่บรรทัด PrivateTmp=true ให้เป็น PrivateTmp=false
เมื่อแก้ไขเสร็จแล้วให้บันทึกโดยการกดปุ่ม Ctrl+O แล้ว Enter และ Ctrl+X เพื่อออก
ใช้คำสั่งเพื่อให้ระบบโหลดค่าที่ทำการแก้ไขใหม่โดยใช้คำสั่ง
sudo systemctl daemon-reload
ขั้นตอนสุดท้ายสั่งเริ่มการทำงานของ Web Server ใหม่อีกครั้งด้วยคำสั่ง
sudo service apache2 restart
หลังจากเริ่มการทำงานของ Web Server ใหม่แล้วให้เปิดดูหน้า Dashboard ของ DVSwitch Server อีกครั้ง จะเห็นว่ามีข้อมูล Analog Bridge Info ขึ้นมาแล้ว
จบขั้นตอนการติดตั้ง AllStar Link และ DVSwitch Server ให้อยู่ใน Raspberry Pi ตัวเดียวกันแล้วครับ ซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ดีมากสำหรับหลาย ๆ คนที่ใช้ DVSwtich อยู่แล้วและต้องการศึกษาระบบ AllStar Link ด้วยเพราะสามารถติดตั้งทั้งสองอย่างได้ในอุปกรณ์ Raspberry Pi ตัวเดียวกัน
เหมือนเดิมนะครับ ถ้าพบปัญหาในการติดตั้งหรือพบข้อผิดพลาดในบทความสามารถแจ้งมายังผมได้โดยตรงที่ Line ID : aisfttx หรือหากต้องการรับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมสามารถเข้าร่วมกลุ่ม Line Openchat ของ XLX822 และ AllStar Link ได้ครับ