รวมการตั้งค่าที่สำคัญของ AllStarLink และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

Digital Ham Radio
7 min readJun 30, 2023

--

ในบทความนี้เป็นการรวบรวมการตั้งค่าต่าง ๆ ของระบบ AllStarLink ซึ่งในบทความนี้จะใช้คำย่อว่า ASL นะครับ ซึ่งไฟล์ตั้งค่าต่าง ๆ จะเก็บอยู่ที่ /etc/asterisk/ นะครับ

การตั้งค่าไฟล์ simpleusb.conf

สำหรับไฟล์ simpleusb.conf นี้จะเกี่ยวกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เฟสที่เป็น USB Audio เข้ากับ ASL ผ่านทาง Port USB ไม่ว่าเราจะใช้ Laptop, Mini PC, PC หรือเป็นอุปกรณ์ Raspberry Pi ก็ตาม ถ้ามีการเชื่อมต่อไปยังวิทยุสื่อสารผ่านทาง USB Audio ก็จะต้องมาตั้งค่าที่ไฟล์นี้

ภาพตัวอย่างการตั้งค่าในไฟล์ simpleusb.conf

จากภาพตัวอย่างจะมีการตั้งค่าสำคัญ ๆ ทั้งหมดสองค่าด้วยกันคือ
carrierfrom = usb หรือ usbinvert ในส่วนนี้จะเกี่ยวกับการทำให้วิทยุมีการ TX ออกหรือไม่ หรืออาจทำให้เกิดการ TX ค้าง สำหรับถ้าใช้กับอินเตอร์เฟส RIM-Alinco จากต่างประเทศจะใช้เป็น carrierfrom = usb แต่ถ้าใช้กับอินเตอร์เฟส Alinco ของ HS2QJJ หรือใช้กับอินเตอร์เฟสที่มีโมดูล SA818 ก็ใช้เป็นค่าเดิมคือ carrierfrom = usbinvert
ctcssfrom = no หรือ usbinvert ในส่วนนี้จะเกี่ยวกับการรับสัญญาณจากวิทยุแล้วมาส่งออกทางอินเตอร์เน็ต ค่าเดิมคือ ctcssfrom = usbinvert ถ้าใช้ค่านี้จะมีการตรวจสอบโทนผ่านทาง usb interface เพราะฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการรับสัญญาณจากวิทยุแต่สัญญาณไม่ออกทางอินเตอร์เน็ต การตั้งค่าในส่วนนี้ปกติเราจะตั้งเป็น ctcssfrom = no ก็คือไม่มีการตรวจสอบโทนทาง usb interface ใช้การตั้งค่าโทนที่เครื่องวิทยุรับส่งแทน

การตั้งค่าไฟล์ modules.conf

ไฟล์นี้จะเป็นส่วนของการให้โหลดหรือไม่โหลด ซึ่งก็เท่ากับการสั่งเปิดหรือปิดการใช้งานโมดูลต่าง ๆ เช่น การเปิดการทำงานของ EchoLink เป็นต้น การเปิดหรือปิดก็ทำได้โดยการแก้ไขแต่ละบรรทัดของโมดูล ถ้าเปิดการใช้งานก็แก้ให้เป็น load => และถ้าปิดการใช้งานของโมดูลก็แก้ไขให้เป็น noload =>

ภาพตัวอย่างรายชื่อโมดูลที่อาจต้องมีการสั่งเปิดการใช้งานเพิ่มเติม

จากภาพตัวอย่างรายชื่อโมดูลที่เราอาจจะมีการใช้งานหรือไม่ใช้งาน
load => chan_echolink.so คือโมดูลที่เปิดระบบ EchoLink
load => chan_simpleusb.so คือโมดูลที่เปิดการใช้งานอินเตอร์เฟส USB Audio
load => chan_usrp.so คือโมดูลที่เปิดการใช้งานเพื่อส่งสัญญาณเสียงไปยัง DVSwitch Server

การตั้งค่าไฟล์ echolink.conf

ไฟล์ echolink.conf เป็นการตั้งค่ารายละเอียดต่าง ๆ เพื่อที่จะเปิดการใช้งานระบบ EchoLink ที่อยู่ใน ASL ของเรา ซึ่งก่อนที่จะตั้งค่าในไฟล์นี้ได้เราจะต้องมีการเตรียมรายละเอียดต่าง ๆ ของ EchoLink ของเราให้เรียบร้อยก่อน

[el0]
call = สัญญาณเรียกขาน EchoLink ที่จะใช้ อาจเป็น -L หรือ -R
pwd = รหัสผ่านของ EchoLink
name = ชื่อเจ้าของสัญญาณเรียกขาน (ภาษาอังกฤษ)
qth = ที่อยู่คร่าว ๆ เช่น Koh Chang, Trat.
email = e-mail ของเจ้าของสัญญาณเรียกขาน
node = หมายเลขโหนดของ EchoLink ที่จะใช้งาน ต้องตรงกับ -L หรือ -R ด้วย
lat = Latitude พื้นที่ที่ต้องการ เช่น 12.085814 หรือ ไม่ระบุก็ได้
lon = Longitude ของพื้นที่ที่ต้องการ เช่น 102.278794 หรือ ไม่ระบุก็ได้
freq = ความถี่ออกอากาศที่ใช้ ไม่ระบุก็ได้
tone = ความถี่โทนที่ใช้ ไม่ระบุก็ได้
power = กำลังส่งที่ใช้ ไม่ระบุก็ได้
height = ความสูงของสายอากาศ ไม่ระบุก็ได้
gain = เกณฑ์สายอากาศ ไม่ระบุก็ได้
dir = ชนิดสายอากาศ ไม่ระบุก็ได้

maxstns = จำนวนที่สามารถเชื่อมต่อเข้ามาได้สูงสุด ใช้ค่าเดิม 20 ก็ได้

rtcptimeout = ค่า timeout ใช้ 10 เหมือนเดิม
recfile = /tmp/echolink_recorded.gsm ;
astnode = หมายเลขโหนดของ AllStarLink ที่ระบบ EchoLink ติดตั้งใช้งาน
context = radio-secure ; ใช้ค่าเดิม
ภาพตัวอย่างการตั้งค่าในไฟล์ echolink.conf

การตั้งค่าไฟล์ iax.conf เพื่อเพิ่มผู้ใช้งานผ่าน DVSwitch Mobile

เราสามารถใช้ Smartphone ระบบ Android เชื่อมต่อมายังโหนดของเราได้ผ่านทาง Application ชื่อ DVSwitch Mobile ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งได้ฟรี แต่ถ้าจะใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้นควรซื้อเป็นเวอร์ชั่นเต็ม ราคาประมาณ 60 กว่าบาท สามารถเชื่อมต่อได้จากอินเตอร์เน็ตทั้งภายในและภายนอกบ้าน แต่หากต้องการเชื่อมต่อจากภายนอก ก็จะต้องมีการ Forward Port ให้เข้ามายังโหนดของเราด้วย

สำหรับการเพิ่มชื่อผู้ใช้งานในไฟล์ iax.conf นั้น ผมแนะนำให้ไปสร้างไว้ใน custom นะครับ ก็จะเป็นไฟล์อยู่ที่ /etc/asterisk/custom/ แทน เหตุผลเพราะลดความสับสนใจการตั้งค่า จริง ๆ แล้วเราสามารถตั้งค่าไฟล์ /etc/asterisk/iax.conf ได้ก็จริง แต่ในไฟล์ iax.conf ที่อยู่ที่ /etc/asterisk/ นั้นจะมีข้อมูลอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ แต่ถ้าเราไปเพิ่มไว้ใน /etc/asterisk/custom/ แทน ก็จะเก็บแต่ข้อมูลผู้ใช้ไว้ ซึ่งถ้าเกิดปัญหาเราสามารถลบออกได้โดยไม่มีผลต่อระบบ

[username]
type = friend
context = iax-client
auth = md5
secret = pass123456
host = dynamic
disallow = all
allow = ulaw
allow = adpcm
allow = gsm
transfer = no

สามารถนำข้อมูลด้านบนไปไว้ในไฟล์ได้เลย และถ้าหากต้องการหลาย ๆ ชื่อผู้ใช้ ก็สามารถ copy ไปวางต่อ ๆ กันไปได้ และทำการเปลี่ยน username เป็นชื่อผู้ใช้จริง และบรรทัด secret = คือรหัสผ่านสำหรับชื่อผู้ใช้นั้น ๆ

ภาพตัวอย่างการเพิ่มชื่อผู้ใช้ในไฟล์ /etc/asterisk/custom/iax.conf

ในการทดสอบการเชื่อมต่อนั้น แนะนำให้เชื่อมต่อโดยใช้หมายเลข IP ภายในก่อน เมื่อเชื่อมต่อจากภายในได้แล้วค่อยทดสอบเชื่อมต่อจากภายนอกเข้ามา

ภาพตัวอย่างการตั้งค่า DVSwitch Mobile เพื่อเชื่อมต่อเข้าโหนดด้วย IP ภายใน

การตั้งค่าให้เปลี่ยนเป็นหมายเลข IP ภายใน, หมายเลขโหนด และสัญญาณเรียกขานของโหนดตัวเองนะครับ ส่วนการเชื่อมต่อจากภายนอกก็จะต่างกันเพียงแค่เปลี่ยนจาก Hostname ที่เป็น IP ภายในเป็นชื่อโดเมนที่ใช้จริง หรือหมายเลข IP ภายนอกที่ใช้งานอยู่ ซึ่งถ้าใช้ AMPRNet IP Class 44 ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โดเมนก็ได้เพราะหมายเลข IP นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

การตั้งค่าไฟล์ manager.conf

ไฟล์ manager.conf เป็นไฟล์ที่เก็บรหัสผ่านของ asterisk manger ซึ่งจะต้องสัมพันธ์กับหน้าเว็บของ allmon2 เพื่อทำการ login เข้าระบบเพื่อจัดการโหนด

ภาพตัวอย่างการตั้งค่าในไฟล์ manager.conf

สำหรับการตั้งค่าในไฟล์นี้ก็ไม่มีอะไรมาก โดยปกติ username ก็จะเป็น admin อยู่แล้วก็แก้ไขเพียงแค่รหัสผ่านที่ต้องการเท่านั้น โดยแก้ไขที่บรรทัด secret = รหัสผ่าน

การสร้าง user เพื่อให้ Login ได้ในหน้า allmon2

เมื่อเราตั้งค่ารหัสผ่านในไฟล์ manager.conf แล้ว ก็ต้องไปตั้งค่าที่ allmon2 ด้วยให้มี username และ password ตรงกับใน manager.conf โดยใช้คำสั่งย้ายการทำงานไปที่ /var/www/html/allmon2 ก่อนแล้วจึงสั่งสร้าง username / password

cd /var/www/html/allmon2
htpasswd -cB .htpasswd admin

# หากไม่ได้ login ด้วย root ต้องมีคำสั่ง sudo นำหน้า htpasswd ก่อน

ในการใส่รหัสผ่านจะไม่แสดงผล ต้องระมัดระวังในการใส่และตรวจสอบให้ดีว่าโหมดการป้อนภาษาเป็นภาษาอังกฤษหรือไม่ และเป็นโหมดตัวอักษรใหญ่หรือเล็ก

ภาพตัวอย่างการใช้คำสั่งเพื่อกำหนดรหัสผ่านให้กับหน้าเว็บ allmon2

การสั่งให้ update ข้อมูลต่าง ๆ ของโหนด AllStarLink

ในกรณีที่ขึ้นข้อความ Node not in database หมายความว่าหน้าเว็บ allmon2 ที่เราดูอยู่นั้น ยังไม่มีข้อมูลของโหนดอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้วต้องมีการดึงข้อมูลของโหนดมาจาก allstarlink.org ซึ่สามารถใช้คำสั่ง astdb.php เพื่อทำการดึงข้อมูลของโหนดมาเก็บไว้ได้

ภาพตัวอย่างหน้าเว็บ allmon2 ที่ไม่มีข้อมูลของโหนดอยู่
ภาพตัวอย่างการใช้คำสั่ง astdb.php เพื่อดึงข้อมูลโหนดมาเก็บไว้

หลังจากที่สั่ง astdb.php แล้ว ถ้าไม่มี error อะไรให้ลองกดโหลดหน้าเว็บ allmon2 ใหม่อีกครั้ง ก็จะมีข้อมูลของโหนดแสดงขึ้นมา

ภาพตัวอย่างหลังจากที่มีข้อมูลโหนดแล้วก็จะแสดงขึ้นมาแทนคำว่า Node not in database

เราสามารถไปกำหนดในระบบ cron ของ Linux ได้ ให้มีการดึงข้อมูลโหนดมาเก็บไว้เองทุก ๆ วันตามเวลาที่ต้องการได้ โดยใช้คำสั่ง crontab -e แล้วกำหนดเวลาที่จะให้ astdb.php ทำงาน

crontab -e

# ถ้าไม่ได้ Login ด้วย root ต้องมี sudo นำหน้าด้วย

หากระบบมีการถามว่าจะใช้ editor ตัวไหนแก้ไขไฟล์ crontab ก็ให้เลือก 1 แต่ถ้าเคยมีการระบุแล้วระบบก็จะไม่ถามอีก

ภาพตัวอย่างตัวเลือกของระบบให้เลือกโปรแกรมที่จะใช้แก้ไข crontab

กำหนดเวลาที่ต้องการ เช่น 15 3 * * * คือทำงานทุก ๆ วันที่เวลา 03.15 น.

15 3 * * *    /usr/sbin/astdb.php
ภาพตัวอย่างการสั่งให้ crontab เรียกไฟล์ astdb.php ทำงานเองทุกวันที่เวลา 03.15 น.

ทำการบันทึกด้วยการกดปุ่ม Ctrl+O แล้วกด Enter และ Ctrl+X เพื่อออกจากการแก้ไข crontab ของระบบ

แต่ถ้าหากให้มีการ update รายชื่อโหนด ณ ขณะนั้นก็สามารถใช้คำสั่ง astdb.php เพื่อทำการ update รายชื่อโหนดได้ตามปกติครับ

การเพิ่มรายละเอียดของโหนดส่วนตัว หรือโหนดที่เป็นผู้ใช้ IAX

การ update รายชื่อโหนดด้วยคำสั่ง astdb.php นั้นจะเป็นรายชื่อของโหนดจริงที่มีอยู่ในระบบของ allstarlink.org หากเราต้องการให้มีการ update รายละเอียดของโหนด ซึ่งเป็นโหนดส่วนตัว ให้ไปสร้างไฟล์ที่เก็บรายละเอียดของโหนดส่วนตัวของเรา โดยตั้งชื่อไฟล์ privatenodes.txt ซึ่งเก็บไว้ที่ /var/www/html/allmon2/

pico /var/www/html/allmon2/privatenodes.txt

# หากไม่ได้ Login ด้วย root ต้องใช้คำสั่ง sudo นำหน้าเสมอ
ภาพตัวอย่างโหนดส่วนตัว 1999 ซึ่งจะไม่มีรายละเอียดของโหนดอยู่

สำหรับรายละเอียดในไฟล์นั้นประกอบด้วย

NODE|CALL|INFO|LOCATION

NODE = หมายเลขโหนด เช่น 1999
CALL = สัญญาณเรียกขานโหนด เช่น HS2BMI
INFO = ข้อมูลโหนด เช่น ความถี่ใช้งาน ความถี่โทน
LOCATION = พื้นที่ตั้งของโหนด เช่น Koh Chang, Trat.

ตัวอย่างในไฟล์ /var/www/html/allmon2/privatenodes.txt

ภาพตัวอย่างการใส่ข้อมูลของโหนดส่วนตัวเข้าไปในไฟล์ privatenodes.txt

หลังจากเพิ่มข้อมูลไปแล้วก็ให้ทำการบันทึกโดยการกดปุ่ม Ctrl+O แล้ว Enter และ Ctrl+X เพื่อออกจากการแก้ไข หลังจากนั้นก็ใช้คำสั่ง astdb.php เพื่อ update รายชื่อโหนดอีกครั้ง และทำการโหลดหน้า allmon2 ใหม่เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง

ภาพตัวอย่างหน้า allmon2 หลังจากเพิ่มข้อมูลเข้าไปในไฟล์ privatenodes.txt แล้ว

การตั้งค่าไฟล์ rpt.conf

สำหรับไฟล์ rpt.conf เป็นไฟล์หลักของโหนด ASL ซึ่งมีการตั้งค่าต่าง ๆ มากมายเพื่อควบคุมการทำงานทั้งหมดของโหนด ASL ค่าแรกที่เราจะดูกันก็คือ duplex = 0 หรือ 1

duplex = 1  ; ถ้าโหนดปกติก็จะตั้งค่า = 1 คือมีการส่งสัญญาณโทนเสียงต่าง ๆ หรือมีเสียงแจ้งข้อมูล
ของโหนดด้วย แต่ถ้าเป็นโหนดที่เป็น Hub หรือโหนดที่มีการเชื่อมต่อมาจากโหนดอื่น ๆ
ก็จะตั้งค่า duplex = 0 เพื่อปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ
ภาพตัวอย่างในไฟล์ rpt.conf ในส่วนของ duplex

ต่อไปการตั้งค่าเพื่อปิดหรือเปิดเสียงรหัสมอร์สที่ส่งจากโหนด

ตัวอย่างค่าเดิมจะไม่มีเครื่องหมาย ; อยู่ด้านหน้า คือให้มีการส่งรหัสมอร์สเป็นระยะ
หากต้องการปิดก็ใส่เครื่องหมาย ; ไว้หน้าบรรทัด

idrecording = |iHS2BMI ; Main ID message
idtalkover = |iHS2BMI ; Talkover ID message

ก็จะได้เป็น...

;idrecording = |iHS2BMI ; Main ID message
;idtalkover = |iHS2BMI ; Talkover ID message
ภาพตัวอย่างในไฟล์ rpt.conf ในส่วนของ idrecording และ idtalkover

การตั้งค่าเพื่อปิดหรือเปิดการแจ้งเมื่อมีโหนดอื่น ๆ เชื่อมเข้ามา

ค่าเดิม

holdofftelem = 0

telemdefault = 1

telemdynamic = 1

หากต้องการปิดการแจ้งเมื่อมีการเชื่อมต่อโหนดให้แก้เป็น

holdofftelem = 1

telemdefault = 0

telemdynamic = 1
ภาพตัวอย่างในไฟล์ rpt.conf ในส่วนของการปิดหรือเปิดเสียงแจ้งเตือนการเชื่อมโหนด

การตั้งค่าเพื่อลดเวลาหน่วงท้ายคีย์เมื่อเรา TX ไปที่โหนด

ค่าเดิมคือ 1000 หรือประมาณ 1 วินาที

hangtime = 1000

ถ้าต้องการลดให้น้อยลง ก็ลดจำนวนตัวเลขเช่น

hangtime = 100
ภาพตัวอย่างค่า hangtime ในไฟล์ rpt.conf

นอกจากการตั้งเวลาหน่วงท้ายคีย์แล้ว อาจจะต้องมีการตั้งค่าเวลาหน่วงของสัญญาณที่มาจากโหนดอื่นด้วยโดยไปตั้งค่าในส่วนของ [wait-times]

ค่าเดิม

unkeywait = 2000

ลดเวลาหน่วงคีย์โดยลดค่าตัวเลข เช่น ลดเหลือ 100 หรือ 0.1 วินาที

unkeywait = 100
ภาพตัวอย่างการกำหนดค่าเวลาหน่วงการปล่อยคีย์ของสัญญาณที่มาจากโหนดอื่น

การตั้งค่าเพื่อปิดเสียงโทนท้ายคีย์เวลาเรารับสัญญาณมาจากโหนดอื่น

ค่าเดิม

linkunkeyct = ct8

ค่าเดิมจะใช้เสียง ct8 ส่งสัญญาณปิดท้ายเมื่อโหนดอื่นปล่อยคีย์
หากไม่ต้องการให้มีเสียงโทนเวลาโหนดปล่อยคีย์ก็ให้ใส่เครื่องหมาย ; นำหน้าบรรทัด

;linkunkeyct = ct8
ภาพตัวอย่างการใส่ค่าเพื่อปิดเสียงท้ายคีย์เวลาโหนดอื่นปล่อยคีย์

สำหรับผู้ที่ใช้งานมากกว่า 1 โหนดในวง LAN เดียวกัน

ผู้ที่ใช้งาน 1 โหนด ต่อ 1 อุปกรณ์ แต่มีอุปกรณ์หรือโหนดมากกว่า 1 โหนดนั้น เพื่อให้การเชื่อมต่อสมบูรณ์จะต้องกำหนดหมายเลขโหนดของแต่ละโหนดให้ไม่เหมือนกัน ซึ่งค่าเลข Port ปกติจะใช้เป็น 4569 แต่เมื่อมีโหนดอื่น ๆ อยู่ภายในวง LAN เดียวกันก็อาจจะกำหนดหมายเลขโหนดเป็นเลขอื่น เช่น

โหนดที่ 1 หมายเลขโหนด 550911 ใช้หมายเลข Port 4591
โหนดที่ 2 หมายเลขโหนด 550912 ใช้หมายเลข Port 4592
โหนดที่ 3 หมายเลขโหนด 550913 ใช้หมายเลข Port 4593

ซึ่งการกำหนดหมายเลข Port นั้นไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว แต่ถ้าจะให้สื่อถึงระบบ AllstarLink แล้วเราก็อาจจะกำหนดเป็นขึ้นต้นด้วย 45… เป็นต้น

อันดับแรกให้ไปตั้งค่าหมายเลข Port ในระบบของ allstarlink.org ด้วยว่าหมายเลขโหนดนี้จะใช้ Port หมายเลขที่เท่าไร ซึ่งค่าหมายเลข Port นี้จะไปกำหนดที่ Server Settings ของโหนด ตามภาพตัวอย่าง

การกำหนดหมายเลข Port ที่หน้า Server Settings ของ allstarlink.org

การกำหนดค่า Port ให้กับ Server Settings นี้สำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวบอกเลยว่าเวลามีการเชื่อมต่อเข้ามาจากโหนดอื่น ค่า Port ที่จะไปเชื่อมต่อกับโหนดเรานั้นให้เชื่อมต่อไปที่ Port หมายเลขที่เท่าไร หากกำหนดในส่วนนี้ไม่ตรงกับการตั้งค่าในอุปกรณ์ Raspberry Pi ก็จะทำให้เชื่อมต่อเข้ามายังโหนดของเราไม่ได้

ต่อไปเป็นการกำหนดหมายเลข Port ในตัว Raspberry Pi ก็จะไปกำหนดที่ไฟล์สองไฟล์ด้วยกันคือ ไฟล์แรก /etc/asterisk/rpt.conf ตามภาพตัวอย่าง

ภาพตัวอย่างการกำหนดค่า Port ในไฟล์ /etc/asterisk/rpt.conf ใหม่จาก 4569 เป็น 4591

และอีกไฟล์ที่ต้องไปกำหนดให้สัมพันธ์กันคือไฟล์ /etc/asterisk/iax.conf

ภาพตัวอย่างการกำหนดค่า Port ในไฟล์ /etc/asterisk/iax.conf ใหม่จาก 4569 เป็น 4591

ทั้งนี้หากต้องการให้การเชื่อมต่อจากภายนอกเข้ามาได้อย่างสมบูรณ์แล้วก็จำเป็นต้องมีการ Forward Port ใน Router ให้ครับถ้วนถูกต้องด้วย

ภาพตัวอย่างการ Forward Port ใน Router ซึ่งต้อง Forward ให้ถูกต้องตามจำนวน Port และอุปกรณ์

การใช้งานโหนด AllstarLink กับอินเตอร์เน็ตที่ไม่ได้ IP จริง

สำหรับหลาย ๆ คนคงประสบปัญหาทางผู้ให้บริการไม่จ่าย IP จริงมาให้ซึ่งปัญหาก็คือเราจะสามารถใช้หมายเลข Port ได้เพียง 10 เลขเท่านั้น และตัวเลข Port เหล่านี้เราไม่สามารถที่จะไปกำหนดได้เอง ตัวระบบของผู้ให้บริการเป็นคนกำหนดมาให้ ซึ่งวิธีการก็ไม่ยากครับ ก็ให้ไปเปลี่ยนหมายเลข Port ของโหนดตามวิธีที่ได้กล่าวไว้แล้ว เช่นถ้าเราได้รับหมายเลข Port จากผู้ให้บริการมาเป็น 4520–4529 เราก็อาจจะเลือกใช้หมายเลข Port 4529 แล้วไปกำหนดที่ Servers Settings ของ allstarlink.org ให้ใช้เลข Port 4529 และก็ไปตั้งค่าใน Raspberry Pi หรือ PC ที่ทำโหนดให้ใช้หมายเลข Port 4529 เช่นกัน แล้วทำการ Forward Port 4529 ให้เข้ามายังอุปกรณ์ที่ใช้ทำโหนด เพียงเท่านี้โหนดก็จะรองรับการเชื่อมต่อที่มาจากภายนอกแล้ว

ลงทะเบียนโหนดได้เลขแล้ว แต่ไม่มี Raspberry Pi เพื่อทดสอบ

สำหรับผู้ที่มีหมายเลขโหนดของ AllStarLink แล้วแต่ยังไม่มีอุปกรณ์ Raspberry Pi หรือเครื่อง PC เพื่อติดตั้งระบบ สามารถใช้ Application DVSwitch Mobile บนระบบปฏิบัติการ Android เพื่อใช้งานโหนดของตัวเองได้ ซึ่ง DVSwitch Mobile นี้สามารถตั้งค่าเพื่อเชื่อมต่อเป็นโหนด AllStarLink ได้เลย

ภาพตัวอย่างหน้าดาวน์โหลด Appication DVSwitch Mobile

เข้าที่เมนู Accounts เพื่อตั้งค่าการเชื่อมต่อ

ภาพตัวอย่างหน้าจอ Application DVSwitch Mobile

เลือกชุด Accounts ที่ว่างอยู่เพื่อตั้งค่า ซึ่งเราสามารถตั้งค่าได้หลาย Accounts

ภาพตัวอย่างหน้า Accounts ใน DVSwitch Mobile

ตั้งค่าตามภาพตัวอย่าง ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนทำการบันทึกค่า

ภาพตัวอย่างการตั้งค่าเพื่อเชื่อมต่อไปยัง allstarlink.org

หากตั้งค่าได้ถูกต้อง เราก็จะสามารถเชื่อมต่อไปยังโหนด AllStarLink ต่าง ๆ ได้ ซึ่งสำคัญมาก เมื่อเริ่มเชื่อมต่ออาจจะต้องรอให้ระบบออนไลน์เรียบร้อยก่อนจึงจะสามารถเชื่อมต่อไปยังโหนดอื่น ๆ ด้วย อาจใช้เวลา 20 วินาทีหรือมากกว่า
การเชื่อมต่อให้ระบุหมายเลขโหนดปลายทางแล้วกดปุ่ม Connect เพื่อเชื่อมต่อ
และกดปุ่ม Hangup เมื่อต้องการตัดการเชื่อมต่อโหนดปัจจุบันที่เชื่อมต่ออยู่

ภาพตัวอย่างหน้าจอ DVSwitch Mobile เมื่อตั้งค่าได้ถูกต้องพร้อมเริ่มการเชื่อมต่อ

ทำอย่างไรเมื่อโหนดไม่พอต้องการโหนดเพิ่ม

สำหรับระบบ AllStarLink นั้น เราสามารถขอเลขโหนดหลักได้ 2 โหนด ซึ่งโหนดที่เป็นโหนดหลักนี้จะมีตัวเลข 5 หลัก เช่น 51546, 55087 แต่ถ้าหากต้องการใช้งานมากกว่า 2 โหนด ก็สามารถทำได้โดยกดขอเพิ่มในหน้า Node Settings ที่เมนู Extend ซึ่งโหนดหลัก 1 โหนด สามารถขอขยายเพิ่มได้ 10 โหนด เช่น หากเราขอขยายโหนดหลักหมายเลข 55087 หมายเลขโหนดที่เราจะได้เพิ่มก็จะเป็น 550870 ถึง 550879 รวม 10 เลขโหนด ข้อควรระวังเมื่อกดขยายโหนดแล้ว หมายเลขโหนดหลักเดิมจะถูกยกเลิกไปเป็นเลขใหม่นะครับก็คือจาก 55087 จะเป็น 550870–550879

ภาพตัวอย่างการขอขยายโหนดหลักให้เป็น 10 โหนด

แต่ถ้าหากเรามีโหนดหลักอยู่เพียง 1 โหนด แล้วต้องการเพิ่มอีก 1 โหนด ไม่ใช่การขอขยายโหนด ก็ให้กดที่ Request นะครับ ซึ่งต้องรอการอนุมัติจากทีม allstarlink.org ปกติก็ไม่เกิน 24 ชม. ครับ ข้อดีของการไม่ขยายโหนดคือเราจะได้ตัวเลข 5 หลัก ซึ่งแน่นอนว่าง่ายต่อการจดจำครับ

นอกจากการตั้งค่าต่าง ๆ ของ ASL ในบทความแล้วยังมีการตั้งค่าอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งต้องศึกษาให้เข้าใจเพื่อการใช้งานได้อย่างถูกต้อง หากต้องการให้เพิ่มหรือแจ้งข้อผิดพลาดในบทความสามารถแจ้งได้ที่ผม HS2BMI ผ่านทาง LINE ID : aisfttx นะครับ หรือ Scan QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อนแล้วก็แจ้งเข้ามาได้ครับ

QR Code LINE ของ HS2BMI

--

--

Digital Ham Radio
Digital Ham Radio

No responses yet